เมื่อหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ – สาเหตุ อาการ การรักษา
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นภาวะที่การบีบตัวของหัวใจเสียไป เกิดจากการสร้างสัญญาณไฟฟ้าที่ผิดปกติ ทำให้การบีบตัวของหัวใจผิดปกติไปด้วย พบได้ในเพศชายได้มากกว่าเพศหญิง โดยปกติพบได้ 1-2 % และพบได้เพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ในผู้ที่อายุ 70 – 80 ปี อัตราส่วนเพิ่มขึ้นถึง 5 %
อาการ
เริ่มมีภาวะใจสั่นทั้งขณะพักหรือหลังมีกิจกรรม หอบเหนื่อยง่าย หรือเจ็บแน่นหน้าอก อาจมีอาการหน้ามืด อ่อนเพลีย ไม่มีแรง หมดสติได้ ในบางรายอาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรค เช่น เส้นเลือดสมองอุดตัน ภาวะหัวใจล้มเหลว
วินิจฉัยเบื้องต้น
วินิจฉัยจากการจับชีพจร ถ้าชีพจรไม่สม่ำเสมอ หรือเต้นเร็ว ต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ โดยจะวินิจฉัยจากคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่จังหวะไม่สม่ำเสมอ และมีความถี่ของ P wave มากกว่า 350 ครั้งต่อนาที
กลไกการเกิด
- จุดกำเนิดไฟฟ้าผิดปกติ (focal activation)
- วงจรไฟฟ้าหมุนวนหลายตำแหน่ง (multiple reentrant circuits)
- การเกิดร่วมกันระหว่างแบบที่ 1 และ 2
สาเหตุการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ
- เกิดจากหลอดเลือดหัวใจโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นโรคทางกล้ามเนื้อหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ หลอดเลือดหัวใจตีบ หรือว่าภาวะความดันโลหิตสูงที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจตามมาได้
- เกิดจากผลของโรคระบบอื่นๆ พบได้บ่อยในกลุ่มผู้ป่วย ไทรอยด์เป็นพิษ ถุงลมโป่งพอง เกลือแร่บางอย่าง ผิดปกติ เช่น แมกนีเซียม โพรแทสเซียมต่ำ หรือ สารเสพติด ยากระตุ้นบางอย่าง รวมถึง ชาและกาแฟในปริมาณที่มากเกินไป สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้
- เกิดขึ้นได้เองโดยไม่มีสาเหตุ (Idiopathic)
การรักษา
วัตถุประสงค์ของการรักษาหลักจะรักษาอาการ และลดผลแทรกซ้อนของตัวโรค
- การใช้ยาควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจให้ไม่เร็วเกินไปทั้งในขณะพัก และในขณะที่ออกกำลัง
- การใช้ยาควบคุมจังหวะการเต้นหัวใจ จากจังหวะที่ผิดปกติให้เป็นจังหวะที่ปกติ และปกป้องกันเกิดการเต้นผิดจังหวะในครั้งต่อไป
- การใช้ยาละลายลิ่มเลือด โดยปกติผู้ป่วยจะเกิดลิ่มเลือดในหัวใจห้องบนได้ง่าย และเมื่อไหร่ก็ตามที่ลิ่มเลือดเกิดหลุดออกไป ก็สามารถทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ตามอวัยวะสำคัญต่างๆ เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีข้อบ่งชี้ แพทย์จึงจำเป็นต้องใช้ยาละลายลิ่มเลือดในกลุ่มนี้
- การใช้คลื่นความถี่ เข้าไปจี้บริเวณที่ส่งสัญญาณผิดปกติ โดยการใส่สายเข้าไปในเส้นเลือดคนไข้ ใช้คลื่นความถี่เพื่อตัดวงจรที่ส่งสัญญาณผิดปกติ และทำการจี้เข้าไป
- การผ่าตัด ผ่าตัดบริเวณเนื้อเยื่อของห้องหัวใจส่วนบนที่ส่งสัญญาณผิดปกติได้
ในปัจจุบันมีวิธีการป้องกันลิ่มเลือดนอกจากการใช้ยา โดยการใส่อุปกรณ์เข้าไปอุดบริเวณห้องหัวใจส่วนบนที่เป็นบริเวณที่เกิดลิ่มเลือดหัวใจได้บ่อยที่สุด
ในกรณีที่ผู้ป่วยหัวใจเต้นผิดจังหวะและสัญญาณชีพไม่คงที่ เช่น ความดันตก หรือมีอาการมากโดยที่ใช้ยาคุมไม่ได้ผล ผู้ป่วยมาโดยภาวะฉุกเฉิน จะมีการใช้ไฟฟ้ารีเซ็ตสัญญาณใหม่ เรียกว่า Cardioversion
ความรุนแรงของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ในกรณีที่เป็นเรื้อรังทำให้หัวใจต้องทำงานหนัก หรือเต้นเร็วตลอดเวลา เมื่อผ่านไประยะเวลานึง หัวใจที่บีบตัวดี จะเริ่มบีบตัวไม่ดี ทำให้เข้าสู่ภาวะหัวใจบีบตัวได้น้อย และเกิดน้ำท่วมปอดตามมาได้ ในกรณีที่เป็นมาก จะทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอดเรื้อรัง และอาจเสียชีวิตจากภาวะหัวใจวายได้
คำแนะนำในการป้องกันและดูแล
- งดสูบบุหรี่ พบว่าภายในปีแรกที่งดบุหรี่จะสามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของหัวใจเต้นผิดจังหวะ ได้ถึงครึ่งนึงของคนที่ไม่สูบ แต่ถ้าสามารถงดสูบได้ 2 ปีขึ้นไปก็จะมีลดความเสี่ยงได้เท่ากับคนปกติที่ไม่สูบ
- การออกกำลังกาย ในปริมาณที่ไม่มากเกินไป เช่น เดิน หรือวิ่งเหยาะๆ ในระยะเวลา 15 – 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์
- หลีกเลี่ยง หรืองด ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง
การหลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ รวมถึงการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เมื่อพบว่ามีความผิดปกติ ควรรีบมาพบแพทย์ ก็จะช่วยให้ห่างไกลจากโรคนี้ได้
25 ธันวาคม 2566